เพราะหัวใจเรามีเพียงดวงเดียว

การดูแลหัวใจจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อลองมาเปิดข้อมูลสถิติจากองค์การอนามัยโลก เป็นเรื่องน่าตกใจ! ที่พบว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจาก “โรคหัวใจและหลอดเลือด” ชั่วโมงละ 2 คน หากตีเป็นตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 37,000 คนต่อปี ซึ่งที่ว่าเป็นตัวเลขที่สูง


ถึงเวลาแล้วหรือไม่
? ที่เราทุกคนควรเริ่มตระหนัก และหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพหัวใจของเรา

 

“วันหัวใจโลก” ที่ผ่านมา ทางสมาพันธ์หัวใจโลก หรือ World Heart Federation ได้จัดแคมเปญ “USE ❤️ KNOW ❤️” หรือ “ใช้หัวใจ รู้จักหัวใจ” เพื่อให้คนได้ตระหนักและเข้าใจถึงสุขภาพหัวใจกันยิ่งขึ้น และมุ่งสู่การลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต

โดยในปีนี้เอง เราได้รับเกียรติจาก ท่าน ผศ. นพ. วีระชัย นาวารวงศ์ ศัลยแพทย์หัวใจ มือหนึ่งจากศูนย์โรคหัวใจกรุงเทพเชียงใหม่ ได้ออกมาเผยสูตรสำเร็จเคล็ดลับที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ตามแบบฉบับ Heart-Healthy Lifestyle ไลฟ์สไตล์ที่ ‘ดีต่อใจ’ เพื่อดูแลหัวใจ “USE ❤️ KNOW ❤️” หรือ “ใช้หัวใจ รู้จักหัวใจ” ดังนี้ค่ะ

 

 

1. ใช้หัวใจกินของดี

  • ลดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและน้ำผลไม้รสชาติหวาน เลือกดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ไม่มีน้ำตาล เลือกกินผลไม้สดเพื่อดีต่อสุขภาพ
  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกกินอาหารที่ “ดีต่อใจ”
  • ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือความคุมปริมาณการดื่มให้เหมาะสม
  • ลดอาหารหวาน มัน เค็ม อาหารสำเร็จรูป เน้นการปรุงด้วยตนเอง
  • ลองเข้าครัว หาอาหารบำรุงหัวใจเมนูใหม่ ๆ โดยปัจจุบันสามารถค้นหาได้ง่ายมากทางออนไลน์

2.     ใช้หัวใจขยับร่างกาย

3.     ใช้หัวใจเลิกบุหรี่

  • เลิกสูบบุหรี่ 2 ปี ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด
  • เลิกบุหรี่ในระยะ 15 ปี ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเทียบเท่ากับคนที่ไม่สูบบุหรี่
  • แม้ไม่สูบก็เสี่ยงโรคหัวใจ หากได้รับควันบุหรี่จากคนอื่น (Secondhand Smoke)
  • งด ละเลิกสูบบุหรี่ ดีต่อสุขภาพ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • นัดหมายแพทย์ผู้ชำนาญการของเรา เพื่อหาวิธีการเลิกบุหรี่ที่เหมาะกับแต่ละบุคคล

 

เป็นอย่างไรกันบ้าง...ไม่ยากอย่างที่หลายคนคิดเลยใช่ไหมคะ? เมื่อหลังได้อ่านแล้ว เราสามารถนำเคล็ดลับทั้ง 3 ไปปรับใช้ได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ทั้งนี้ยังมีตัวช่วยที่อยากแนะนำ นั่นก็คือ เครื่องมือ  “ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด Thai CV risk score” ที่จัดทำขึ้นโดยทีมงาน สสส. ร่วมกับสถาบันสาธารณสุขหลายแห่ง โดยผลจากแบบประเมินนี้สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงของโรคได้ถึง 10 ปี เลยทีเดียวนะคะ

 

 

ทั้งนี้ผลจากแบบประเมินแบ่งออกเป็น 3 ระดับความเสี่ยง ได้แก่

  1. ระดับความเสี่ยงสูง “Hight Risk” ควรติดต่อรับคำปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการโดยเร็ว เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  2. ระดับความเสี่ยงปานกลาง “Medium Risk” แนะนำปรับพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์การกินอาหาร การออกกำลังกาย และควรที่ได้รับการตรวจประเมินหัวใจเพิ่มเติมเบื้องต้น โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธี
    1. ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน Exercise Stress Test (EST) ซึ่งจะทดสอบว่า ในขณะที่ออกกำลังกายหัวใจมีสภาพอย่างไร จะเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดขึ้นหรือไม่ เพราะในบางคนที่ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพักอาจจะไม่พบความผิดปกติใดๆ เเต่พอมาวิ่งสายพานอาจเจอความผิดปกติได้ หากผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันอยู่ ก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ จะมีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อภาวะโรคหัวใจมากน้อยเพียงใด
    2. ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยเครื่องสะท้อนเสียงความถี่สูง Echocardiogram (Echo) คือการตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ ด้วยการส่งคลื่นเสียงที่มีความปลอดภัยต่อร่างกายไปยังตำแหน่งของหัวใจและสะท้อนสัญญาณกลับมาประมวลผลเป็นภาพ 2-3 มิติ เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจแบบเรียลไทม์ เป็นการตรวจที่จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคทางหัวใจได้อย่างแม่นยำ ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง หรือแพทย์ตรวจร่างกายแล้วพบว่ามีเสียงหัวใจผิดปกติ หรือผู้มีอาการโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตเสื่อมเรื้อรัง โรคหัวใจสั่นพริ้ว โรคปอดเรื้อรัง
  1. ระดับความเสี่ยงต่ำ “Low Risk” ร่ายกายของคุณได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แนะนำดูแลอย่างต่อเนื่องและอย่าลืมที่จะตรวจร่างกายประจำปี  รวมถึงหมั่นตรวจสุขภาพหัวใจประจำปีกับแพทย์ผู้ชำนาญการ หรือตรวจด้วยตัวเองง่าย ๆ ด้วยการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ เพราะ “การป้องกันก่อนเกิดโรคนั้นดีต่อใจ”

 

ศูนย์โรคหัวใจกรุงเทพเชียงใหม่  โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่

โทร. 052089888 หรือ Call Center 1719