ตาแห้ง เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและพบได้ในทุกเพศทุกวัย แม้ว่าอาการตาแห้งส่วนใหญ่จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่การปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวโดยไม่ทำการรักษาจะทำให้อาการเคืองตารุนแรงยิ่งขึ้น จนอาจเกิดการอักเสบเรื้อรังรุนแรงจนเสี่ยงต่อการเป็นแผลที่กระจกตา และเสียการมองเห็นได้

ตาแห้ง เป็นโรคตาที่เกิดจากระบบต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติ ทำให้มีปริมาณน้ำตาไม่เพียงพอ หรือมีการระเหยของน้ำตาที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตา เช่น เคืองตา แสบตา ตาแห้ง เป็นต้น

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะตาแห้ง

  1. การสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ (Aqueous Tear Deficiency) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ได้แก่
    • กลุ่มโรค Sjogren’s Syndrome อาจเกิดจากกลุ่มโรคข้อ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือไม่พบสาเหตุ(Primary Sjogren’s Syndrome)
    • กลุ่มที่ไม่ใช่ Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด หรือจากโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ แพ้ยารุนแรง การอักเสบจนท่อน้ำตาจากต่อมน้ำตาตัน หรือการที่มีกระจกตาอักเสบ มีการรับรู้ผิดปกติ การใส่คอนแทคเลนส์นาน ๆ ทำให้การกระตุ้นน้ำตาตามธรรมชาติผิดไปจากเดิม โดยโรคเหล่านี้ส่งผลให้ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติจึงผลิตน้ำตาน้อยและตาแห้ง
    • ฮอร์โมนต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลง มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ทำให้เยื่อบุต่าง ๆ ในร่างกายผลิตน้ำได้น้อยลง รวมทั้งสารคัดหลั่งต่าง ๆ
    • การใช้ยาบางประเภทที่ส่งผลให้ตาแห้ง เพราะลดการสร้างน้ำตา ถ้าใช้หลายชนิดอาจทำให้ตาแห้งได้มากขึ้น เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต ยาคลายเครียดบางชนิด ฯลฯ
  1. การที่น้ำตาระเหยเร็วหรือมีคุณสมบัติผิดปกติ (Evaporative Dry Eyes) ได้แก่
    • กลุ่มต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติหรืออุดตัน (Meibomian Gland Dysfunction) เปลือกตาอักเสบ เมื่อชั้นไขมันเกิดความผิดปกติ จะทำให้น้ำตาระเหยเร็ว
    • กลุ่มที่มีความผิดปกติของเปลือกตา เช่น การปิดตาไม่สนิท การกะพริบตาน้อยผิดปกติ ฯลฯ
    • ภาวะหลังจากโดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตาจนอาจเกิดแผลเป็น ทำให้การสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตามีปัญหา
    • การใช้สายตามากเกินไป พบมากในวัยทำงาน จากการใช้งานคอมพิวเตอร์และสวมคอนแทคเลนส์ ซึ่งเป็นตัวการดูดน้ำออกจากลูกตา ทำให้ตาแห้ง เมื่อรวมกับพฤติกรรมชอบจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา ทำให้กระตุ้นน้ำตาออกมาน้อยและระเหยเร็ว

สัญญาณเตือนของอาการภาวะตาแห้ง

  • ระคายเคืองตา คันตา แสบตา หรือรู้สึกไม่สบายตา
  • ตามัว มองไม่ชัดเป็นครั้งคราว / ตาล้าง่าย
  • มีความรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมคล้ายทรายหรือฝุ่นอยู่ในตา
  • แพ้แสง แพ้ลม น้ำตาอาจไหลมาก เพราะเคืองตา
  • ตาแดง และหรือมีขี้ตาแบบเมือกร่วมด้วย
  • บริเวณตาขาวมีสีแดงจากการอักเสบ ขอบเปลือกตาแดง
  • รู้สึกไม่สบายตา ลำบากเมื่อตอนลืมตาในช่วงตื่นนอนตอนเช้า

ผลที่ตามมาจากภาวะตาแห้ง หากปล่อยให้มีภาวะตาแห้งโดยไม่ทำการรักษา อาจส่งผลให้เกิดภาวะอื่นๆ ตามมา เช่น

  • การอักเสบของเปลือกตา
  • การดึงรั้งของเปลือกตาทำให้ขนตาลงมาทิ่มตา
  • กระจกตาเป็นแผล

วิธีป้องกันภาวะตาแห้งเบื้องต้น

  • การปรับพฤติกรรมการใช้สายตาให้ถูกต้อง พักสายตาทุก 20นาที โดยมองไกลๆ20ฟุต นาน20วินาที
  • งดการใช้คอนแทคเลนส์ต่อเนื่อง ควรมีการหยุดพักโดยใส่แว่นสลับใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ ๆ มีแสงสว่างเพียงพอ
  • เตือนตัวเองให้กะพริบตาให้บ่อย น้ำตาจะได้เคลือบตาอยู่เป็นระยะ ๆ
  • หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน ลมแรง แนะนำให้สวมแว่นเพื่อกันแดดกันลม
  • กินอาหารให้ครบทุกหมู่และอาหารที่มีโอเมกา 3 (Omega 3 Fatty Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดการอักเสบบรรเทาอาการตาแห้งได้

หากมีอาการรุนแรงหลังจากปรับการใช้งานสายตาแล้วอาการของภาวะตาแห้งไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับคำปรึกษากับจักษุแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการและลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้

การตรวจวินิจฉัย

  • การซักประวัติผู้ป่วย เช่น อาการ ประวัติสุขภาพ ประวัติการใช้ยา เป็นต้น เพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลให้เกิดภาวะตาแห้ง
  • การตรวจดูคุณภาพของน้ำตา
  • การตรวจวัดปริมาณน้ำตา
  • การตรวจต่อมน้ำตาไมโบเมียนด้วยกล้องชนิดพิเศษที่เรียกว่า Meibography เพื่อดูความเสียหายของต่อมน้ำตา

การรักษา

  • การใช้ยารักษา ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงของภาวะตาแห้ง
    • น้ำตาเทียม มีทั้งแบบยาหยอดตา เจล หรือขี้ผึ้งป้ายตา
    • ยาลดการอักเสบของเปลือกตา เช่น ยาปฏิชีวนะ Azithromycin, Doxycycline
    • ยาหยอดตาที่ช่วยลดการอักเสบของผิวดวงตา เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือ ยากดภูมิ Cyclosporine
    • ยากระตุ้นการสร้างน้ำตา เช่น Diquafosol เป็นต้น
    • ซีรัมของตนเอง (Autologous serum) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยคนนั้นๆ มาทำเป็นยาหยอดตา
  • การนวดและทำความสะอาดเปลือกตา การกดรีดไขมันตามแนวการวางตัวของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตา เพื่อกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่บริเวณรอบเปลือกตา
  • การรักษาด้วยแสงIPL (Intense Pulse Light)  เพื่อช่วยเกิดการลดและตัดวงจรการอักเสบที่เปลือกตา ช่วยให้ไขมันที่ผลิดจากต่อมผลิตไขมัน (Meibomian Gland) ละลายตัวและลดการอุดตัน และส่งผลในระยะยาวให้การสร้างน้ำตาดีขึ้นได้ คลิกที่นี่ปรึกษารับการตรวจด้วยเครื่อง IPL
  • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดการเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน และพักสายตาเป็นระยะๆ รวมถึงการทำความสะอาดเปลือกตาด้วยน้ำยาพิเศษ เพื่อกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่บริเวณรอบเปลือกตา
  • การประคบน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 41-43 องศาเซลเซียสเป็นประจำเช้า-เย็น

IPL หรือ Intense Pulse Light เป็นการรักษาภาวะตาแห้งหรือโรคเปลือกตาอักเสบเรื้อรังด้วยแสงในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะ พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาจะมีลักษณะเหมือนไฟแฟลชจากกล้องถ่ายภาพ โดยคลื่นแสงที่ใช้ในการรักษาตาแห้งเรื้อรังจะไปมีผลกับเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติที่เปลือกตาให้หดตัวลง จึงทำให้สามารถเป็นผลให้เกิดการลดและตัดวงจรการอักเสบที่เปลือกตา และยังมีผลให้ไขมันที่ผลิดจากต่อมผลิตไขมัน (Meibomian Gland) ละลายตัวและลดการอุดตัน และส่งผลให้การสร้างน้ำตาดีขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้แสงยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย และตัวไรที่ขนตา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของเปลือกตาและภาวะตาแห้งเรื้อรังได้

การรักษาตาแห้งเรื้อรังด้วยแสง IPL เหมาะสำหรับกลุ่มคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยในโรคต่อไปนี้

  • เปลือกตาอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ตัวไรขนตา (Demodex)
  • ต่อมผลิตไขมันเสื่อมสภาพ (Meibomian Gland Dysfunction)

ผู้ป่วยจะได้พบกับจักษุแพทย์เพื่อประเมินภาวะตาแห้งเบื้องต้นก่อน เพื่อวางแผนกการรักษาเนื่องจากการรักษาด้วยแสง IPL นั้น จะเป็นการรักษาต่อเนื่อง ซึ่งโดยปกติการรักษาแนะนำทำการรักษาประมาณ 4-8 ครั้งขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเหมาะสมสำหรับการรักษา ผู้ป่วยสามารถเริ่มรักษาได้ทันที และหลังจากการรักษาด้วยแสงแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือ การทำบีบ/กดรีดต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาผ่านกล้องจุลทรรศน์โดยจักษุแพทย์เพื่อช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการรักษาตาแห้งเรื้อรัง

การดูแลตนเองหลังการรักษาตาแห้งเรื้อรังด้วยแสง IPL

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนแสงแดดเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังทำหัตถการ
  • ทาครีมกันแดด SPF 50 ขึ้นไป วันละประมาณ 4 ครั้ง
  • หยอดยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อประสิทธิภาพของการรักษา

หากท่านมีอาการผิดปกติ เช่น ตาแดง แพ้แสงแดดมากผิดปกติ มีขี้ตามากผิดปกติ หรือ ปวดตามากผิดปกติ ควรเข้ามาพบจักษุแพทย์ก่อนวันนัด หรือโทรปรึกษาแผนกจักษุเบื้องต้นที่เบอร์  052089880

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก

แผนกจักษุ | โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่

โทร. 052-089880 หรือ Call Center 1719