เผยคนไทยเสี่ยงเบาหวานเพิ่มเกือบ 1 ใน 10 แถม “ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน” พ่วงท้าย - โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่

สถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พบว่าคนไทย 1 ใน 11 คน ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคเบาหวานมากถึงประมาณ 5 ล้านคน โรคเบาหวานเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะเราต้องควบคุมอาหาร กินยาเป็นประจำ และต้องพบแพทย์อยู่บ่อย ๆ เพื่อดูแลรักษาให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะหากน้ำตาลในเลือดมากหรือน้อยเกินไป จะทำให้เสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และการรักษาโรคเบาหวานมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค รวมถึงการป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน

 

โรคเบาหวาน มีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของร่างกาย ที่ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตามไปด้วย แต่สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอันตรายนั่นก็คือ การมีโรคแทรกซ้อน หรือที่เรียกว่าภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน (Diabetes complication) เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตา โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคความดันโลหิตสูง รวมถึงโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย ที่อาจส่งผลทำให้ร่างกายทุพพลภาพ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ การดูแลรักษาโรคเบาหวานที่ดีคือ การควบคุมระดับน้ำตาล เป็นการป้องกันและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ชนิดเฉียบพลัน

จะเป็นลักษณะของภาวะน้ำตาลในเลือดที่ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จะมีอาการซึม สับสน มึนงง ใจสั่น ชัก หรืออาจถึงขั้นหมดสติได้ และหากอาการหนักกว่านั้น ก็อาจเป็นอันตรายจนถึงเสียชีวิต
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง อาการนี้จะทำให้ภาวะของเลือดเป็นกรด ส่งผลให้หมดสติ หรือระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้รับความเสียหาย

 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ชนิดเรื้อรัง

สาเหตุเกิดจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดทั่วร่างกาย ถูกทำลาย เสื่อม ทำให้ตีบ แข็ง ส่งผลให้เกิดการอุดตัน และเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่หลอดเลือดขนาดเล็กและหลอดเลือดขนาดใหญ่ เช่น

ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก

  • ภาวะแทรกซ้อนที่จอประสาทตา หากเกิดภาวะดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดอาการสายตามัว มีเงาดำมาบดบัง มองเห็นภาพซ้อน ซึ่งเป็นอาการของโรคทางตาต่าง ๆ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน เบาหวานขึ้นตา จอประสาทตาเสื่อม ที่ร้ายแรงกว่านั้น ก็จะทำให้จอรับภาพฉีกขาด แตก สูญเสียการมองเห็น หรือถึงขั้นตาบอดได้
  • ภาวะแทรกซ้อนที่ไต เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงกว่าระดับปกติ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของเลือดที่ไต ทำให้มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ส่งผลให้การทำงานของไตลดลง เกิดน้ำคั่ง ของเสียคั่ง เบาหวานลงไต ตัวบวม แขนขาบวม การดูแลรักษาในเบื้องต้นคือการฟอกไต ล้างไต และหากร้ายแรงอาจถึงขั้นต้องเปลี่ยนไต เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
  • ภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาท จะเกิดอาการชาที่ปลายมือหรือปลายเท้า เหมือนถูกแทง มีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือสูญเสียการรับรู้ความรู้สึกส่วนใหญ่ จะเกิดอาการในเวลากลางคืน สาเหตุเกิดมาจากส่วนปลายประสาทอักเสบลุกลาม ทำให้ประสาทสัมผัสลดลง และอาจทำให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงได้

ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่

  • ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะเกิดการตีบตันของหลอดเลือดใหญ่
  • ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากภาวะเส้นเลือดตีบเช่นกัน หรือความดันโลหิตและไขมันในเลือด อยู่ในระดับที่ผิดปกติ
  • ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน โดยเฉพาะที่ขา หรือเกิดแผลที่ปลายเท้า จนทำให้เกิดการติดเชื้อ สาเหตุเกิดมาจากการดูแลควบคุมโรคเบาหวานได้ไม่ดีเท่าที่ควร หากรักษาไม่ทันการ อาจทำให้สูญเสียรุนแรงถึงขั้นถูกตัดเท้าได้

 

การดูแลควบคุมภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

  • ควบคุมระดับไขมันคอเลสเตอรอล ไม่ให้เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ควบคุมระดับความดันโลหิต ไม่ให้เกิน 130/80 มิลลิเมตรปรอท
  • ควบคุมระดับน้ำตาล ให้อยู่ระหว่าง 80 - 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ควบคุมระดับน้ำตาลสะสม HbA1C (Hemoglobin A1C) 6.5 - 7.5%

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและโรคร่วมของผู้ป่วย ซึ่งการควบคุมปัจจัยเหล่านี้ ต้องอาศัยการเข้ารับคำปรึกษาและตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

 

หลักในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยเบาหวาน

  • ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ เพื่อเสริมภูมิให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง การออกกำลังกายมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ หากผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี จะทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายจากการปัสสาวะบ่อย การดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอ จะเป็นการช่วยปรับความสมดุลให้กับร่างกาย
  • ทำใจให้สบาย ลดความวิตกกังวล และความเครียด เพราะความเครียดมีส่วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  • ดูแลเรื่องอาหารการกิน งดการกินอาหารหวาน งดกินแป้งในปริมาณมากเกินไป เน้นการกินผักผลไม้สด ธัญพืช โปรตีน เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ฯลฯ งดเว้นอาหารที่มีไขมันทรานส์ หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น เนยเทียม ครีมเทียม นมข้นหวาน ฯลฯ และเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น ชา หรือกาแฟ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา
  • ควบคุมน้ำหนัก การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดได้
  • หมั่นพบแพทย์ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การตรวจเลือด ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด วัดระดับไขมัน รวมทั้งการศึกษาข้อมูลด้านต่าง ๆ ของโรคเบาหวานเพื่อดูแลตัวเอง จะช่วยให้สามารถประเมิน และดูแลสุขภาพได้เป็นอย่างดี

 

การดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะจากโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น ทั้งนี้ การดูแลควบคุมภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อติดตามอาการ ตรวจวินิจฉัยรักษา และรับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสุขภาพที่ดี

 

พยาบาลลักขณา เทศเปี่ยม

พยาบาลประสานงานโรคเบาหวาน

แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่

อ้างอิง
https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/1423_1.pdf

https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=15591&deptcode=